วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2558

สลด! หนุ่มแข่งกินวอดก้า ซดรวดเดียว 25 ช็อต ใน 1 นาที ช็อคอนาถดับคาโต๊ะ

firstpost.com เว็บไซต์ต่างประเทศรายงานข่าวสุดสลด ที่เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัย Julio de Mesquita ใน บารูรู ประเทศบราซิล หลังนาย Humberto Moura Fonseca นักศึกษาวัย 23 ปี ลงแข่งขันการดื่มวอตก้า ที่รุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยจัดขึ้น ซึ่งหลังเริ่มการแข่งขัน ปรากฏว่า นาย Humberto ได้ซัดวอตก้าเข้าไปถึง 25 ช็อต ใน 1 นาที ก่อนที่จะล้มลงหมดสติ จนคนในงานต้องหามร่างเขาไปส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง ก่อนที่จะเสียชีวิตในเวลาต่อมา จากภาวะเป็นพิษของแอลกอฮออล์ ที่ดื่มลงไป นอกจากนี้ยังมีนักศึกษาอีก 3 ราย ที่ถูกหามส่งโรงพยาบาล จากอาการเดียวกัน ขณะนี้กำลังรักษาตัวอยู่ในไอซียู

ก่อนที่ตำรวจในท้องที่จะจับกุมตัวนักศึกษารุ่นพี่ 2 ราย ที่จัดการแข่งขันดังกล่าว โทษฐานประมาทจนผู้อื่นเสียชีวิตและจัดให้มีการดื่มแอลกอฮออล์ในสถานศึกษา


ปมแย่งชิงรองเท้า คว้าไม้ฟาดหัวลุง พลัดตกคลองดับ


(22 มี.ค.) เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี สาขารัตนาธิเบศร์ ได้รับแจ้งเหตุคนถูกทำร้ายและพลัดตกลงไปในคลองน้ำเสียชีวิต ภายในซอยสามัคคี 34 จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ พร้อมกับเจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง
จุดเกิดเหตุเป็นบ้านเพิงพักชั้นเดียว ไม่มีบ้านเลขที่ ตั้งอยู่บริเวณคลองน้ำริมถนน เจ้าหน้าที่พบศพชายถูกตีด้วยของแข็งที่ศีรษะ จนเป็นบาดแผลฉกรรจ์ และมีรอยฟกช้ำหลายแห่งตามร่างกาย ทราบชื่อคือ นายสมนึก อายุ 60 ปี อาศัยอยู่ที่บ้านเพิงพักแห่งดังกล่าว
จากการสอบถาม นายวชิระ อายุ 21 ปี หลานชายของผู้เสียชีวิต เปิดเผยว่า ตนอาศัยอยู่กับผู้เสียชีวิตมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณลุง แต่ผูกพันกันจนเรียกว่าพ่อ ก่อนเกิดเหตุ รองเท้าของตนที่ถอดเอาไว้หน้าบ้านได้หายไป ต่อมาตนไปพบเห็นวางไว้อยู่ที่บ้านหลังข้างๆ ตนจึงเดินไปหยิบและนำกลับมาซักทำความสะอาด
กระทั่งต่อมา ป้าจากบ้านหลังข้างๆ ได้ออกมาโวยวายต่อว่าตน กล่าวหาว่าตนขโมยรองเท้าไป ทั้งที่รองเท้าคู่ดังกล่าวเป็นของตน จนเกิดทะเลาะมีปากเสียงกัน นายรุ่งนิรันดร์ อายุ 23 ปี หลานชายของป้าข้างบ้าน จึงได้ตามมาสมทบ พร้อมกับถือท่อนไม้ออกมาด้วย ตนจึงเดินหนีกลับเข้าบ้าน เพราะไม่อยากมีเรื่อง
นายวชิระ ยังเล่าต่ออีกว่า ช่วงจังหวะที่ตนกำลังหันหลังกลับเข้าบ้าน ปรากฏว่า นายรุ่งนิรันดร์ กำลังจะเอามาฟาดใส่ตน เมื่อ นายสมนึก เห็น จึงรีบวิ่งออกไปห้าม ทำให้ นายรุ่งนิรันดร์ ใช้ไม้ฟาดใส่ลุงแทน ทำให้กระเด็นตกลงไปคลอง ตนจึงรีบวิ่งลงไปในน้ำ เพื่อพยายามช่วยเหลือลุง ตอนแรกตั้งใจจะพาส่งโรงพยาบาลแต่ก็ไม่มีเงิน จึงเอายาเส้นมาปิดปากแผลไว้ ก่อนจะรีบออกไปซื้อยา เมื่อกลับมาก็พบว่าลุงเสียชีวิตแล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเหตุ นายรุ่งนิรันดร์ ได้หลบหนีไปอย่างใจเย็น เมื่อเจ้าหน้าที่มาถึงจุดเกิดเหตุ ก็ไม่พบตัวผู้ก่อเหตุแล้ว จึงได้ดำเนินการสอบสวนพยานที่เห็นเหตุการณ์ เพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป อีกทั้งจากการสอบประวัติอาชญากรรม พบว่า นายรุ่งนิรันดร์ เพิ่งพ้นโทษคดียาเสพติดออกมาได้ไม่นาน


น้ำแข็งยูนิตใส่ฟอร์มาลีน อ.เจษฎา บอกว่า……

น้ำแข็งยูนิตใส่ฟอร์มาลีน

           หากคุณอ่านข่าวนี้แล้ว จะทำให้ท่านที่ชอบทาน น้ำแข็งยูนิต หรือ น้ำแข็งแบบปลอดสบายใจในระดับหนึ่ง  เนื่องจากกรณีที่โลกออนไลน์มีการแชร์ข้อมูลเตือนภัยเรื่อง น้ำแข็งยูนิตที่มีการผสมฟอร์มาลีน เพื่อไม่ให้ละลายเร็ว หากใครบริโภคเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคมะเร็ง

รายละเอียด กรณีข่าว น้ำแข็งยูนิตใส่ฟอร์มาลีน

    โดย ล่าสุด ! เมื่อวันที่ 20 มี.ค.2558 ที่ผ่านมา อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ นักวิชาการวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant ระบุว่า “ข้อความที่ถูกส่งต่อกันมาน่าจะเป็นเรื่องหลอก เพราะฟอร์มาลีนมีหน้าที่ทำให้กล้ามเนื้อ-โปรตีนต่างๆ จับตัวแข็ง ศพหรือสัตว์ที่ดองไปจึงแข็งตัวไม่เน่าเปื่อย ไม่เกี่ยวอะไรกับการทำให้น้ำแข็งมันละลายช้า“

โดยมีข้อความทั้งหมดดังนี้ “เรื่องน้ำแข็งยูนิค ใส่ฟอร์มาลีน ก็น่าจะเรื่องหลอกเช่นกันครับ“

วันนี้คนส่งมาถามเพียบเลย เรื่องที่แชร์มาจากไลน์ว่า น้ำแข็งยูนิตที่กินกันนั้น ผสมฟอร์มาลีนเพื่อไม่ให้ละลายเร็ว เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ผมว่าเป็นเรื่องหลอกครับ เพราะฟอร์มาลีน หรือฟอร์มัลดีไฮด์ ที่เอามาใช้ดองศพ ดองสัตว์นั้น มีหน้าที่ทำให้กล้ามเนื้อ-โปรตีนต่างๆ จับตัวแข็ง ศพหรือสัตว์ที่ดองไปจึงแข็งตัวไม่เน่าเปื่อย

ไม่เกี่ยวอะไรกับการทำให้น้ำแข็งมันละลายช้า เรื่องนี้จริงๆ แล้วก็เห็นแพร่มาในเน็ต 2-3 ปีแล้ว ส่วนนึงอาจจะมาจากการเข้าใจผิด จากเรื่องที่เคยมีการรั่วไหลของแอมโมเนีย จากระบบทำความเย็นของโรงงานน้ำแข็ง แล้วมีกลิ่นฉุนรุนแรง

คนอาจจะเอาไปเต้าข่าวว่าเป็นฟอร์มาลีน หรืออาจจะเอามาจากข่าวที่เคยมีการลักลอบแอบเอาฟอร์มาลีนมาผสมน้ำ ทำเป็นน้ำแข็งฟอร์มาลีน เอาไว้ลักลอบแช่อาหารทะเล อันนี้ก็น่ากลัวเหมือนกัน
.....................
ทีมา : http://www.tamsabye.com/น้ำแข็งยูนิตใส่ฟอร์มาล/

ยันไม่จริง! แมลงร้ายบนสะพานลอยหน้าม.เกษตรฯ แท้จริงเป็นแบบนี้

ไม่คิดว่าภาพแมลง ที่ไม่แน่ใจว่าผึ้งหรือตัวต่อ ซึ่งมีการเตือนภัยคนที่ต้องขึ้นสะพานลอย ประตูงามวงศ์วาน 1 ม.เกษตรฯ บางเขน ได้ระวังกัน 
จะถูกเอาไปแชร์ ถึงขั้นเป็นแมลงร้ายที่มีฤทธิ์เดชอันตรายมาก ล่าสุด อ.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ได้โพสต์ในเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant ย้ำเตือนกันอีกครั้งนะจ๊ะ ว่าที่ลือกันนั้น เป็นเรื่องหลอก เพราะมันเป็นแค่ผึ้งมิ้มธรรมดาๆ ไม่มีอันตรายร้านแรงอะไร 





ตร.บุกจับสึกพระ 8 รูป ตั้งเพิงพักออกตระเวนรับบิณฑบาต





เมื่อเวลา 17.30 น. วันที่ 22 มี.ค. พ.ต.อ.ภัทรภัทร นุชยวง ผกก.สส.ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน ตรวจสอบพื้นที่รกร้าง บริเวณป่าสะแก ริมถนนสายเอเชีย ม.3 ต.คลองสวนพลู อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา หลังได้รับแจ้งจากประชาชนว่า มีพระภิกษุสงฆ์ รวมตัวพักอาศัยอยู่ในเพิงพักภายในป่า โดยตอนเช้าจะออกรับบิณฑบาตและเรี่ยไร ตามหมู่บ้านจัดสรร แหล่งชุมชน สร้างความเดือดร้อนรำคาญอย่างมาก

 เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงใช้กำลังเข้าตรวจสอบ พบว่าที่พักเป็นเพิงพัก สร้างเป็นหลังๆ อยู่กันเป็นกลุ่มชุนชนเล็กๆ กลางป่า ทำเป็นที่อยู่อาศัย จึงเข้าตรวจค้น พบพระภิกษุสงฆ์อาศัยอยู่จำนวน 8 รูป ทั้งหมดมาจากทางภาคอีสาน มีข้าวเครื่องใช้และข้าวสารอาหารแห้งจำนวนหนึ่ง จีวร บาตร จำนวนมาก รวมถึงยาเสพติด ยาไอซ์ และอุปกรณ์การเสพ ตรวจสอบเอกสารพบว่ามีหนังสือใบสุทธิ ระบุเป็นพระบางรูปก็ไม่พบเอกสารแต่อย่างใด ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเป็นใบสุทธิจริงหรือไม่

 จึงได้ควบคุมตัวไป สำนักงานเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดพนัญเชิงวรวิหาร ให้พระเมธีวราภรณ์ รองเจ้าคณะจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ร่วมกับพระครูสิริชัยมงคล รองเจ้าคณะอำเภอพระนครศรีอยุธยา และเจ้าหน้าที่สำนักพุทธศาสนา จ.พระนครศรีอยุธยา ทำการสึก โดยเบื้องต้นทำการตรวจปัสสาวะเพื่อหาสารเสพติด พบเบื้องต้น 4 รูป จึงทำการสึกทั้งหมด และนำตัวพระทั้ง 8 รูปไปตรวจสารเสพติดอย่างละเอียดอีกครั้ง ที่โรงพยาบาลพระนครศรีอยุธยา ก่อนที่จะส่งดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 


ฮือฮา! ผู้ใหญ่บ้านสุดหล่อ คล้ายกับ วิน ดีเซล มาดูกันว่าจะคล้ายมากแค่ไหน



แชร์สนั่นรับกระแสฟาสต์7ผญบ.หน้าคล้าย'วิน ดีเซล'
เรียกว่ารับกระแสภาพยนตร์แอ็คชั่นทริลเลอร์แห่งปีอย่าง “Fast & Furious 7 เร็ว..แรงทะลุนรก 7” กรณีกลุ่มเพจชาว จ.พระนครศรีอยุธยา พากันแชร์ภาพของผู้ใหญ่บ้านหนุ่มล่ำ อายุ 37 ปี ที่มีหน้าตาไปละม้ายคล้ายคลึงกับนักแสดงหนุ่มชาวอเมริกันสุดฮอตของเรื่องอย่าง 'วิน ดีเซล' ทำให้เกิดการแชร์อย่างรวดเร็ว โดยส่วนหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่าผู้ใหญ่บ้านหนุ่มมีส่วนคล้าย วิน ดีเซล แม้ไม่ได้เหมือนทุกระเบียบนิ้ว แต่ก็สร้างสีสันให้กับผู้ที่ชื่นชอบภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่องนี้เข้าอย่างจัง


ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 มี.ค. “เดลินิวส์ออนไลน์” ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้ใหญ่บ้านหนุ่มเจ้าของกระแสคนดังกล่าว ซึ่งแท้จริงแล้วชื่อของเขาก็คือ นายเอกรัฐ ธูปะเตมีย์ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ผู้ใหญ่โอ๊ด อายุ 37 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 ต.พุทเลา อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา โดยผู้ใหญ่โอ๊ด เปิดเผยว่า ตนเป็นผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านนี้มานานกว่า 11 ปีแล้ว หลังจากเรียน จบ ป.ตรี ด้านพัฒนาชุมชนก็มาสมัครลงเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน ตั้งแต่อายุ 26 ปี และได้รับเลือกจากชาวบ้านมา 2 สมัย สาเหตุที่ทำให้ลูกบ้านรัก และไว้ใจ เป็นเพราะตนเป็นคนจริงใจ พูดจริงทำจริง เด็ดขาดกับการทำงาน แต่ปกติก็เป็นคนขี้เล่นเฮฮาด้วยในเวลาเดียวกัน และจะอยู่ร่วมกับชาวบ้านเหมือนครอบครัว มีอะไรก็ช่วยเหลือกันตลอด แต่ไม่ใช่ทุกคนที่รักทั้งหมด เพราะการเป็นผู้ใหญ่บ้านที่เด็ดขาดตนมักจะลงพื้นที่กับเจ้าหน้าที่ตำรวจกวาดล้างลูกบ้านที่ใช้ยาเสพติด เรื่องยาเสพติดเป็นเรื่องที่ตนยอมไม่ได้ ตนเป็นคนพื้นที่รู้ว่าลูกบ้านคนใดมีพฤติกรรมอะไรบ้าง ตรงนี้อาจทำให้คนไม่ชอบก็ได้


นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้หลายคนหรือเคลือบแคลงใจคือรอยสักที่เขาสักทั้งตัวจนถึงข้อมือ ตั้งแต่ยังไม่ได้รับตำแหน่ง ซึ่งผู้ใหญ่โอ๊ดกล่าวว่า "มีหลายคนไม่ชอบที่ผมสักแบบนี้ แต่รอยสักไม่ได้มีผลกระทบอาชีพราชการของผม มันเป็นความชอบส่วนบุคคล เวลาไปประชุมผมจะใส่เสื้อแขนยาวสุภาพตลอด จึงอยากให้วัดกันที่ผลงานมากกว่า


เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงหน้าตาของผู้ใหญ่โอ๊ดว่ามีส่วนคล้ายกับวิน ดีเซล ผู้ใหญ่โอ๊ดถึงกับหัวเราะพร้อมเล่าว่า "มีคนทักกันเยอะว่าผมหน้าตาคล้ายกับนักแสดงดังคนนี้ ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดว่าเหมือนอะไรมากมาย อาจเป็นเพราะไว้ผมทรงสกินเฮดเหมือนกับดาราดัง สาเหตุที่ตัดผมเกลี้ยงขนาดนี้เป็นเพราะมีครั้งหนึ่งเคยไว้ผมยาวแล้วรู้สึกตลกตัวเอง จึงตัดสกินเฮดมาโดยตลอด มีคนทักว่าเหมือนดาราดังก็รู้สึกดี ทั้งนี้ผมเคยแสดงละครโดยได้รับบทเป็นโจรด้วย


ทั้งนี้ภาพยนตร์เรื่อง "Fast & Furious 7 เร็ว..แรงทะลุนรก 7" จะเข้าฉายประเทศไทยในวันที่ 1 เม.ย. นี้ สำหรับโรงภาพยนตร์ระบบปกติ, 3D, IMAX 3D และ 4DX .






ฟ้าผ่าโรงเรียนดังสุพรรณฯ ไฟไหม้วอดอาคารเรียนเสียหายกว่า 2 ล้าน




เมื่อวันที่ 22 มี.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี รับแจ้งเหตุไฟไหม้อาคารเรียนโรงเรียนวัดใหม่นพรัตน์ (หรือวัดดอนกลาง) หมู่ 1 ตำบลเนินพระปรางค์ อำเภอสองพี่น้อง   จึงเดินทางไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุพบเพลิงกำลังลุกไหม้อาคารเรียนแบบไม้ยกพื้นสูง แบ่งเป็นห้องๆ เจ้าหน้าที่ช่วยกันฉีดน้ำสกัดเพลิง นานกว่า 2 ชั่วโมง จึงสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ เบื้องต้นเพลิงได้ไหม้อาคารเรียนเสียหายเกือบทั้งหมด ตรวจสอบพบเพลิงได้ไหม้อาคารเรียนเสียหายจำนวน 6 ห้องเรียน เป็นห้องเรียนของนักเรียนชั้น อนุบาล 2 ชั้น ป.2 ป.3 ป.4 ห้องพัสดุ และห้องผู้บริหาร อุปกรณ์การเรียนจำนวนมาก ถูกไฟไหม้เสียหายเกือบทั้งหมด

 สอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุได้มีพายุฝนตกหนัก และเกิดฟ้าผ่าไฟไหม้โรงเรียนที่เกิดเหตุใกล้กับห้องพัสดุ จากนั้น ได้มีไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว จึงแจ้งเจ้าหน้าที่รถดับเพลิงมาระดมช่วยดับไฟ แต่เพลิงได้ลุกไหม้อาคารเรียนจนเสียหาย สำหรับอาคารเรียนหลังดังกล่าวมีอายุมากว่า 50 ปี เบื้องต้นคาดว่า ค่าเสียหายมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท ส่วนสาเหตุน่าจะมาจากฟ้าผ่าจนเป็นเหตุให้เพลิงลุกไหม้แต่อย่างไรก็ดียังต้องรอการตรวจสอบหาสาเหตุอีกครั้งว่าเกิดจากอะไรกันแน่


ชาวบ้านตื่น! ระเบิดวางใต้สะพาน EOD ตรวจที่แท้น้ำหอม



(22 มี.ค.) เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางขุนเทียน ได้รับแจ้งเหตุพบวัตถุต้องสงสัย รูปร่างลักษณะคล้ายกับวัตถุระเบิดน้อยหน่า ถูกวางเอาไว้ใต้สะพานข้ามแยกนิลอากาศ ถนนกัลปพฤกษ์ จึงได้ประสานงานไปยังเจ้าหน้าที่ทหาร พล.ร.9 และเจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิด ลงพื้นที่ไปตรวจสอบ
จุดเกิดเหตุพบชาวบ้านจับกลุ่มยืนดูเหตุการณ์กันอยู่ห่างๆ เจ้าหน้าที่ได้กันพื้นที่เอาไว้เพื่อความปลอดภัย ก่อนที่หน่วยอีโอดีจะเข้าไปตรวจสอบ จากการตรวจสอบพบวัตถุคล้ายระเบิดชนิดขว้าง MK2 ถูกใส่เอาไว้ในกล่องน้ำหอมยี่ห้อหนึ่งจากประเทศฝรั่งเศส จึงได้นำเอายางรถยนต์วางครอบวัตถุดังกล่าวไว้
แต่ในเวลาต่อมาไม่นานนัก เจ้าหน้าที่อีโอดีได้ตรวจสอบโดยละเอียดแล้ว พบว่าวัตถุดังกล่าวเป็นเพียงขวดน้ำหอม ที่ใช้หมดแล้ว รูปทรงเลียนแบบลูกระเบิด MK2 เป็นผลิตภัณฑ์น้ำหอมจากประเทศฝรั่งเศส จึงได้นำเก็บเอาไว้ตรวจสอบหาเบาะแสที่มาต่อไป
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กรมทางหลวงชนบท ซึ่งเป็นพยานผู้พบเห็นเหตุการณ์ระบุว่า ระหว่างที่กำลังเก็บกวาดเศษขยะบนผิวถนน ก็บังเอิญพบวัตถุดังกล่าวตั้งวางเอาไว้อยู่ เนื่องจากคล้ายกับลูกระเบิดและไม่กล้าเข้ามาตรวจสอบเอง จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบดังกล่าว



คู่รักช็อก! วิดีโอตอนเด็กพบ..เคย “เดินสวนกัน” ที่สวนสนุก 16 ปีก่อนเจอกันจริง!

คู่รักนิวเจอร์ซี่คู่หนึ่ง ชื่อ Jourdan และ Ryan Spencer ต่างพากันช็อก เมื่อเขาดูวิดีโอตอนเด็กของ Jourdan ตอนไปสวนสนุก Sesame Place ใน Langhorne และพบว่าเขาทั้งคู่เคย “เดินสวนกัน” ที่สวนสนุกแห่งนั้นในปี 1988 ซึ่งเป็นเวลา 16 ปีก่อนที่เขาทั้งคู่จะเจอกันและตกหลุมรักกัน และแต่งงานกันเมื่อปี 2007


Jourdan วัย 36 ปี บอกว่าเธอช็อกมาก เธอถึงขั้นกรอกลับไป และหยุดดู ทำแบบนั้นอยู่หลายรอบเพื่อให้แน่ใจว่าใช้เขาสองคนจริงๆ ส่วน Ryan วัย 40 นั้นเขาบอกว่า เขาค่อนข้างมั่นใจเลยทีเดียวว่าใช่เขาแน่ๆ
ซึ่งในวิดีโอนั้น แม่ของ Jourdan และพี่สาวของเธอกำลังรอเธออยู่ ซึ่งกำลังกลับมาจาก Water slide และขณะนั้น Ryan ซึ่งตอนนั้นอายุ 13 ปี ใส่แว่นตา ก็เดินเข้ามาในเฟรมพอดิบพอดี
อย่างไรก็ตามพอไปบอกทุกคน ทุกคนก็ตกใจ และช็อกในความบังเอิญนี้ ถึงแม้ว่าเอาจริงๆ แล้ว ก็ยากที่จะพิสูจน์อยู่ดีว่าใช่หรือไม่ แต่หนึ่งในสิ่งที่ช่วยยืนยันก็คือ เมื่อดูรูปจากครอบครัวของ Ryan ในปี 1988 นั้นพบว่าพวกเขาก็เดินทางไป Sesame Place ในวันนั้นพอดี
คุณพ่อของเธอนั้นก็บอกว่าดีใจมากๆ ที่วันนั้นมีกล้องและได้ถ่ายความบังเอิญนี้ไว่้ โดยเฉพาะแม่ที่ตื่นเต้นหนักกว่าคุณพ่อเสียอีก


ทั้งนี้ Jourdan และ Ryan ซึ่งบ้านอยู่ห่างกันราว 45 นาทีนั้น พบรักกันทางการ “นัดบอด” ในเดินเมษายน 2004 แต่เมื่อดูวิดีโอนั้นแล้ว พวกเขาก็คิดว่า ยังมีอีกหลายครั้งที่เขาน่าจะได้เจอกัน อย่างเช่นคอนเสิร์ตครั้งแรกของเธอได้แก่ Rolling Stones ในปี 1989 นั้น Ryan ก็ไปเช่นเดียวกัน แต่ไม่ได้เจอ ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาคิดว่า เขาเกิดมาเพื่อได้เจอกัน แต่ถึงจะพลาดไป พลาดมาหลายรอบ คนที่เป็นคู่กัน ก็ต้องมาเจอกันอยู่ดีนั่นเอง







ชาวบ้านโวยวัดดังภูเก็ต ไม่มีเงินล้านไม่ให้ตั้งศพ



(22 มี.ค.) แฟนเพจชื่อดัง FuckGhost ฟักโกสต์ : สมาคมต่อต้านสิ่งงมงาย ได้แชร์ภาพจากเฟซบุ๊ก Fernny F. Miimii ระบุว่าได้นำศพคุณย่าซึ่งเสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2558 ไปตั้งสวดพระอภิธรรมที่วัดชื่อดังแห่งหนึ่งที่ต.ป่าตอง จ.ภูเก็ต โดยเจ้าภาพได้ประกาศไปว่าจะมีกำหนดการสวดพระอภิธรรม 9 คืน แต่สุดท้ายกลับต้องย้ายวัดเนื่องจากเจ้าอาวาสไม่ยินยอมให้ตั้งศพ
โดยมีชาวบ้านคนหนึ่งระบุว่า ได้ยินเจ้าอาวาสคุยกับมัคนายก บอกว่า ให้เอาศพไว้แค่ 7 คืนก็พอ อย่าถึง 9 คืนเลย เกะกะลานวัด ใครมาไม่ทันก็ไม่ต้องเผา
นอกจากนี้ เจ้าของเฟซบุ๊กซึ่งเป็นเจ้าภาพยังอ้างอีกอ้างว่า เพราะตนไม่มีเงินล้าน ไม่มีเงินใส่ซองเป็นพันเป็นหมื่น เจ้าอาวาสจึงไม่ให้ตั้งศพ สุดท้ายญาติจึงได้ย้ายศพไปตั้งที่วัดอื่นแทน ตั้งแต่วันที่ 18 มีนาคม เป็นต้นมา โดยประสานให้เจ้าหน้าที่กู้ภัยช่วยเหลือในการย้ายวัด
ทั้งนี้ ชาวสังคมออนไลน์ ต่างเรียกร้องให้เจ้าคณะจังหวัด เข้าตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกรณีดังกล่าว เพื่อเป็นการจัดระเบียบวัดไม่ให้กลายเป็นวัดเชิงธุรกิจ โดยเสียงของชาวเน็ตต่างบอกว่า ไม่ว่าคนรวยหรือจนก็ไม่ควรเกี่ยง เพราะวัดควรเป็นที่พึ่งของชาวพุทธ และสงเคราะห์ชาวบ้านที่ไม่มีเงินทองอย่างเท่าเทียม อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีคำชี้แจงเหตุผลจากทางวัด ว่าเหตุใดจึงไม่ให้ตั้งศพดังกล่าว



หนุ่มสุโขทัยน้อยใจไม่มีใครรัก ผูกคอตายตามแม่ ทิ้งข้อความลา


 เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 22 มี.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจรับแจ้งมีเหตุชายหนุ่มผูกคอตายในเพิงไม้กลางสวนมะม่วง ที่หมู่ 5 ต.คลองยาง อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย จึงเดินทางไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุพบศพนายอานัต หรือต้า อายุ 32 ปี ชาวจ.สุโขทัย สภาพสวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน กางเกงขายาว ใช้เชือกแขวนคอตัวเองกับขื่อหลังคาภายในเพิงไม้ บนเสาและบนแผ่นไม้กระดาน ยังมีข้อความลาตายเขียนด้วยถ่าน ระบุว่า “..ตายแล้วมันดี ..รักทุกคนแต่ไม่มีใครรัก..สักคน ..ขอเป็นศพอนาถา แม่รอต้านะจ๊ะ”  
 

 สอบสวนนายเต้ อายุ 29 ปี น้องชายผู้ตาย ให้การว่า พี่ชายมีอาชีพรับจ้างทั่วไป เป็นคนนิสัยร่าเริง แต่ชอบดื่มเหล้าจนเมาเป็นประจำ บางครั้งเมาขนาดปีนขึ้นไปนอนหลับอยู่บนต้นมะม่วง ทั้งนี้ ก่อนเกิดเหตุ พี่ชายเดินเข้าไปหายายที่บ้าน บอกขออโหสิกรรม แล้วเดินมาที่เพิงไม้ ยายรู้สึกเอะใจ ก็เลยเดินตามมาดู ก็พบเป็นศพแขวนคอตายแล้ว และวันนี้ยังตรงกับวันทำบุญครบรอบทำบุญ 7 วันของแม่ที่เพิ่งจะป่วยตาย พี่ชายผมรักแม่มาก แต่เวลาพี่ชายเมาจะชอบคิดว่า ไม่มีใครรักเขา จึงอาจเป็นสาเหตุให้คิดสั้นผูกคอตายตามแม่ในครั้งนี้


ตะลึง! สาวแก้แค้นแฟนหนุ่ม ด้วยการแปะผ้าอนามัยรอบคันรถ


ตะลึง! สาวแก้แค้นแฟนหนุ่ม ด้วยการแปะผ้าอนามัยรอบคันรถ

ข่าววันนี้ ...เมื่อหญิงสาวต้องการแก้แค้นแฟนหนุ่ม ผลเลยออกมาเป็นแบบนี้!

        ชาวเน็ตจีนแห่แชร์ภาพของรถ Toyota Reiz สีดำ คันหนึ่งที่ถูกแปะด้วยผ้าอนามัยรอบคันรถกว่า 30 ชิ้น พร้อมทั้งอีกบางส่วนที่ตกเกลื่อนอยู่รอบคันรถ

        เบื้องต้นคาดว่า ผู้ก่อเหตุน่าจะเป็นแฟนสาวของเจ้าของรถคันดังกล่าว ซึ่งทั้งสองอาจมีปากเสียงกันมาก่อนหน้านี้ และหญิงสาวก็ต้องการแก้แค้นแฟนหนุ่มให้ต้องอับอาย ด้วยวิธีการที่สร้างความตื่นตะลึง! ให้กับผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาอยู่ไม่น้อย




สุดเลว! แย่งลูกแต่ตกลงไม่ได้ฟันคอแม่ยาย-หลานดับ เขียนจดหมายเหตุผลที่ทำ สุดท้ายเป็นก็ต้องเป็นแบบนี้


ลูกเขยสุดโหดเลิกกับเมียขอลูกชายวัยแบเบาะดูแลเอง ตกลงกันไม่ได้ทะเลาะแย่งลูก แม่ยายพลาดเข้ามายุ่งเรื่องครอบครัว ฉุนคว้ามีดฟันคอแม่ยาย-หลานดับ เมียเจ็บสาหัสอุ้มลูกหนีไปผูกคอตายคาห้างนา
เมื่อวันที่ 22 มี.ค. ร.ต.ท.เกชาปากสวัสดิ์ ร้อยเวร สภ.นครไทย จ.พิษณุโลก รับแจ้งเหตุฆ่ากันตาย ภายในบ้านพัก เลขที่ 49 หมู่ 5 ต.บ้านพร้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก รีบเดินทางไปตรวจสอบพร้อม พ.ต.อ.สุมิตร มั่นเมือง ผกก.กำลังฝ่ายสืบสวน แพทย์เวร รพ.สมเด็จพระยุพราชนครไทย และหน่วยกู้ภัยนครไทย ที่เกิดเหตุเป็นบ้านชั้นเดียว ห้องครัวหลังบ้านพบศพ นางป่วนด่อนจันทร์ อายุ 62 ปี มีบาดแผลถูกฟันด้วยมีดที่ลำคอ 2 แห่ง นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บสาหัสอีก 2 รายทราบชื่อว่า น.ส.ปรัชญา ด่อนจันทร์ อายุ 37 ปี ถูกฟันที่ลำคอ 1 แห่ง และนายกรรชัย เบ็ญจมาตร อายุ 18 ปี มีบาดแผลที่หลังใกล้ลำคอ ภายหลังทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตที่โรงพยาบาล


จากการสอบสวนทราบว่าผู้ก่อเหตุคือ นายชัยพล ฮึมพล อายุ 35 ปี สามี น.ส.ปรัชญา หลังเกิดเหตุได้หายตัวไปกับลูกชายวัน 1 เดือนเศษ โดยก่อนหน้านี้ นายชัยพลมีปากเสียงทะเลาะกับ น.ส.ปรัชญาอย่างหนัก เรื่องที่ทั้งคู่ต้องการแยกทางกัน แต่ต่างฝ่ายต่างร้องจะดูแลบุตรชายวัยแบเบาะ กระทั่งฝ่ายแม่ยาย คือนางป่วน และนายนายกรรชัยหลานชายเข้ามาห้าม ทำให้นายชัยพลเกิดความไม่พอใจคว้ามีดฟันทั้งหมดบาดเจ็บ และเสียชีวิตดังกล่าว

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจระดมกำลังออกไล่ล่า กระทั่งผ่านไปไม่นานพบนายชัยพลอุ้มลูกชายหนีไปผูกคอตัวเองเสียชีวิตที่กลางทุ่งนา ใกล้ประปาของหมู่บ้าน โดยอาการของเด็กทารกน้อยปลอดภัยดี โดยผู้ตายทิ้งให้นอนร้องไห้บนห้างนา พร้อมจดหมายระบุข้อความทำนองว่า ไม่พอใจที่แม่ยายมายุ่งเรื่องครอบครัว แม้จะฆ่าทกุคน รวมทั้งชีวิตตัวเอง แต่ก็ไม่เคยคิดจะสังหารลูกน้อย เบื้องต้นเจ้าหน้าที่นำศพนายชัยพล ปส่งชันสูตรที่ รพ.สมเด็จพระยุพราชนครไทย ก่อนมอบให้ญาตินำไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป.



รถนักท่องเที่ยวจีนชนแม่บ้านรพ.เชียงรายดับ





เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 22 มี.ค. พตท.ภาสกร สุขะ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองเชียงราย ได้รับแจ้งรถชนกัน มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ หลังจากรับแจ้งได้ประสานแพทย์แผนกนิติเวช พร้อมรีบรุดไปตรวจสอบ

 ที่เกิดเหตุบริเวณถนนสาย เทิง-เชียงราย ช่วงบ้านจำบอน ต.ดอยลาน พบชาวบ้านกำลังมุงดูชาย ที่ประคองร่างหญิงสภาพหมดสติไว้ เจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือ พบว่าหญิงคนดังกล่าวเสียชีวิตแล้ว โดยสภาพศพกระดูกคอหัก และมีแผลฉกรรจ์หลายจุด ทราบชื่อภายหลังว่า นางกนกพร คำน้อย อายุ 41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 257 ม.1 บ้านจำบอน ดอยลาน อาชีพพนักงานทำความสะอาด รพ.ศูนย์เขียงราย ใกล้ๆ พบรถฮอนด้าดรีมสีแดง หมายเลขทะเบียน ขนท-853 เชียงรายล้มอยู่ ห่างออกไปประมาณ 20 เมตร พบรถมอเตอร์ไซด์คาวาซากิ เคเอสอาร์สีดำแดง หมายเลขทะเบียน คทก-797 ชร.ล้มอยู่กลางถนน สภาพพังยับเยิน คนขับคือนายพยุหะ นิลโพธ์ 30 ปี 22/1 ม.2 ต.โพธิ์เก้าต้น ลพบุรี อยู่ในอาการตกใจ เนื่องจากกระโดดสละรถทัน ใกล้ๆ กันพบรถยนต์ มิตซูบิชิสีดำ ป้ายทะเบียนจีน จอดอยู่กลางถนน สภาพกันชนหน้าพังยับเยิน โดยมีนายเฉิน ยังจูน เป็นคนขับ ยืนรอมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่

 จากการสอบถามชาวบ้าน ที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า เห็นรถยนต์วิ่งตามกันมาสองคัน มีรถมอเตอร์ไซด์เคเอสอาร์ กำลังจะออกจากซอย รถนักท่องเที่ยววิ่งกินเลนส์มาใกล้ริมถนน คนขับรถจักรยานยนต์เคเอสอาร์ เห็นท่าไม่ดีได้กระโดดออกจากรถ ปล่อยให้รถถูกชน ทำให้ตัวเองไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่รถนักท่องเที่ยวจีนเมื่อชนรถจักรยานยนต์คันแรก เกิดอาการตกใจหักพวงมาลัยออก จนรถไถลข้ามฝั่งไปชนรถจักรยานยนต์ฮอนด้าดรีม ที่มีนางกนกพรเป็นผู้ขับขี่อยู่ และจอดอยู่ปากซอยคนละฝั่งถนน จนเสียชีวิตในที่สุด 

 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนักท่องเที่ยวจีนมาสอบสวนที่ สภ.เมือง เชียงราย พร้อมล่ามภาษา และรวบรวมพยานหลักฐานผู้เห็นเหตุการณ์ โดยจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่ายต่อไป


วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2558

เด้ง-ฟันอาญา ครู"ตุ๋ย"4นร. รมว.ศธ.จี้เอาผิด ส่วนคดีแช็ตหื่น สั่งสอบรองผอ.

รมว.ศึกษาฯ สั่งฟันเด็ดขาดครูโรงเรียนดังในกทม. "ตุ๋ย" 4 น.ร.ชายระหว่างไปดูงานที่สิงคโปร์ ชี้หากผิดจริงไม่เลี้ยงไว้ เพราะขาดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรง เลขาฯ สพฐ.ระบุสั่งย้ายเข้ากรุแล้ว ให้มารายงานตัวจันทร์นี้ พร้อมเร่งเยียวยาจิตใจเหยื่อน.ร.ทั้ง 4 ด้านครูตุ๋ยยังเก็บตัวเงียบ ขณะที่ผอ.โรงเรียนดังอุตรดิตถ์สั่งตั้งกก.สอบแล้วรองผอ.แช็ตไลน์สยิวกับน.ร.หญิง "ม.6" หลังแชร์เรื่องนี้กันกระหึ่มสังคมออนไลน์ ทั้งเรียกรองผอ.กับน.ร.หญิงมาสอบสวนทั้งคู่จันทร์นี้ ชี้หากผิดจริงก็ต้องลงโทษวินัยร้ายแรง



จากกรณีมีผู้ปกครองของนักเรียนชายชั้นป.2 ของโรงเรียนชื่อดัง ย่านรามคำแหง กทม. ได้เข้าไปร้องเรียนกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) อ้างว่าลูกชายและเพื่อนๆ อีก 3 คนถูกครูผู้ชายคนหนึ่งล่วงละเมิดทางเพศ ขณะเดินทางไปศึกษาดูงานโครงการนักเรียนวิทยาศาสตร์สู่สากลที่ประเทศสิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 8-11 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยผู้ปกครองรายดังกล่าวระบุว่ามีนักเรียนเข้าร่วมโครงการครั้งนี้ 46 คน มีครูร่วมเดินทางไปดูแลนักเรียน 3 คน เป็นชาย 2 คน หญิง 1 คน ซึ่งครูผู้ชายที่ก่อเหตุมีลักษณะกระตุ้งกระติ้ง



เมื่อวันที่ 21 มี.ค. พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ว่า ได้รับทราบกรณีดังกล่าวแล้ว และได้ขอให้นายกมล รอดคล้าย เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กพฐ.) เร่งตรวจสอบ หากพบว่าครูคนดังกล่าวทำความผิดจริง ก็ขอให้ดำเนินการลงโทษอย่างเด็ดขาด เพราะการล่วงละเมิดทางเพศถือว่ามีความผิดอยู่แล้ว และยิ่งเป็นครูไปกระทำการล่วงละเมิดทางเพศเด็กนักเรียนยิ่งถือว่ามีความผิดทางวินัย ขาดจรรยาบรรณอย่างร้ายแรง รวมถึงยังมีความผิดทางกฎหมายด้วย ขณะที่ในส่วนของโรงเรียนต่างๆ นั้นตนขอกำชับให้ช่วยกันสอดส่องดูแลนักเรียนและครู ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์สร้างความเสื่อมเสียขึ้นอีก



ส่วนนายกมลให้สัมภาษณ์ว่า ในวันที่ 23 มี.ค.นี้ ผู้ถูกกล่าวหาจะต้องมารายงานตัวหลังจากมีคำสั่งให้มาช่วยราชการที่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.2) เข้าใจว่าคงมารายงานตัวตามกำหนด แต่ถ้าไม่มารายงานตัวและหายไปเกินกว่า 15 วันก็ถือว่าขาดราชการ จะต้องถูกปลดออกจากราชการทันที ระหว่างนี้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะเร่งดำเนินการไปพร้อมๆ กันใน 2 ประเด็น คือ 1.ในเรื่องของกระบวนการสอบสวนข้อเท็จจริงก็ว่ากันไปตามข้อเท็จจริงให้เต็มที่และรวดเร็ว โดยพล.ร.อ.ณรงค์มีนโยบายชัดเจนให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ห้ามมิให้มีการช่วยเหลือในกรณีที่มีการกระทำความผิดอย่างเด็ดขาด เพราะถือเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับวงการศึกษา



เลขาฯ สพฐ.กล่าวว่า เรื่องที่ 2 คือการดูแลสภาพร่างกายและจิตใจของเด็กจะต้องทำอย่างเต็มที่ ไม่ให้เด็กรู้สึกแย่จนไม่สามารถเรียนและใช้ชีวิตได้ตามปกติ ในขณะนี้ยังไม่อยากไปพูดถึงเรื่องของการย้ายเด็กไปเรียนที่อื่น แต่หากเป็นการร้องขอของทางเด็กและผู้ปกครอง สพฐ.ก็พร้อมจะดูแลเต็มที่ ส่วนกรณีที่ผู้ปกครองจะแจ้งความดำเนินคดีกับครูคนดังกล่าวหรือไม่นั้น ตนคงไม่สามารถตอบแทนได้ หากจะแจ้งความก็ถือเป็นสิทธิ์ที่สามารถกระทำได้อยู่แล้ว



"ที่ผ่านมา สพฐ.ได้มีการกำชับเรื่องการดูแลเด็กนักเรียนไม่ว่าจะไปจัดกิจกรรมใดๆ ที่ไหนก็ตามจะต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของนักเรียนเป็นสำคัญ แต่ก็ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้ขึ้น ดังนั้นในการประชุมผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ทั่วประเทศในวันที่ 17 เม.ย. ผมจะได้กำชับในเรื่องนี้" เลขาธิการ กพฐ.กล่าว



ด้านนายธีร์ ภวังคนันท์ ผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจคุ้มครองและช่วยเหลือเด็กนักเรียน (ฉก.ชน.) สพฐ. ให้สัมภาษณ์ว่า สพฐ.ได้รับการร้องเรียนเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว และได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก หากผลการสอบสวนมีมูลที่ชัดเจนตามที่มีการร้องเรียน ก็จะดำเนินการทางวินัยขั้นเด็ดขาดซึ่งมีโทษถึงขั้นให้ออก ปลดออก และไล่ออก เพราะถือเป็นความผิดร้ายแรง ขณะเดียวกันก็เร่งเยียวยาสภาพร่างกายและจิตใจให้เด็กนักเรียน เพราะกรณีนักเรียนชายถูกล่วงละเมิดทางเพศครั้งนี้ ถือเป็นเรื่องที่กระทบจิตใจของเด็กอย่างรุนแรง โดยมากเด็กที่เจอกับสถานการณ์เช่นนี้จะมีสภาพจิตใจค่อนข้างแย่ เพราะเด็กตกเป็นเหยื่อความรุนแรง ซึ่งหากไม่ได้รับการเยียวยาและปล่อยไปอนาคตเด็กอาจเกิดพฤติกรรมเลียนแบบโดยไม่รู้ตัว 



ผอ.ฉก.ชน.กล่าวต่อว่า ทางศูนย์ได้สรุปผลการดำเนินงานคุ้มครองและช่วยเหลือนักเรียนที่ประสบเหตุ ประจำปี 2557 โดยมีเรื่องร้องเรียนเข้ามาจำนวน 49,599 ราย ดังนี้ กรณีถูกล่วงละเมิดทางเพศ 167 ราย แบ่งเป็นเด็กกับเด็ก 93 ราย ครู/บุคลากรทางการศึกษากับเด็ก 7 ราย บุคคลอื่นกับเด็ก 54 ราย และอื่นๆ 13 ราย กรณีความรุนแรง รวม 624 ราย แบ่งเป็น เด็กกับเด็ก 522 ราย ครู/บุคลากรทางการศึกษากับเด็ก 15 ราย บุคคลอื่นกับเด็ก 64 ราย ฆ่าตัวตาย/ทำร้ายตัวเอง 15 ราย อื่นๆ 8 ราย กรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมทางการศึกษา รวม 12,382 ราย แบ่งเป็น ให้ออก 13 ราย เก็บค่าใช้จ่าย 3 ราย ครูไม่เป็นธรรม 13 ราย ขาดโอกาสเรียน (ยากจน/ขาดผู้อุปการะ) 11,825 ราย อื่นๆ 528 ราย กรณีอื่นๆ รวม 36,426 ราย แบ่งเป็น ท้องไม่พร้อม (สมยอม) 119 ราย ท้องไม่พร้อมถูกละเมิด 4 ราย จิตเวช (สมาธิสั้น) 32,909 ราย พฤติกรรมไม่เหมาะสม 2,843 ราย เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 97 ราย ตายจากการจมน้ำ 83 ราย อื่นๆ 371 ราย



"ที่ผ่านมา เลขาธิการ กพฐ.ได้กำชับเรื่องการดูแลความปลอดภัยนักเรียนมาโดยตลอด แต่กลับมีครูที่มาก่อเหตุล่วงละเมิดทางเพศนักเรียนขึ้นมาอีก ซึ่งเลขาธิการ กพฐ.ไฟเขียวให้จัดการกับผู้ที่ก่อเหตุเต็มที่ โดยรายล่าสุดที่ก่อเหตุในลักษณะเช่นนี้กับนักเรียนเป็นครูชายในจังหวัดพะเยาได้กระทำอนาจารนักเรียนหญิง ซึ่งผลการสอบสวนพบมีมูล และได้ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง ซึ่งเมื่อวันที่ 17 มี.ค.ที่ผ่านมา ทางอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (อ.ก.ค.ศ.) เขตพื้นที่นั้นๆ ก็ได้มีมติเห็นชอบให้ปลดออกจากราชการเป็นกรณีตัวอย่างไปแล้ว" นายธีร์กล่าว



นายธีร์กล่าวด้วยว่า ทางศูนย์เตรียมที่จะจัดทำทะเบียนประวัติแบล็กลิสต์ครูที่กระทำความผิดร้ายแรงไว้ให้โรงเรียนต่างๆ ทั้งของรัฐและเอกชนได้ตรวจสอบ ทั้งนี้จะได้ปิดช่องทางเพื่อไม่ให้มีโรงเรียนใดรับเข้าไปทำหน้าที่ของการเป็นครูได้อีก ขณะเดียวกันคดีไหนมีการสอบสวนทางวินัยร้ายแรงสิ้นสุดและมีการลงโทษแล้ว จะมีการส่งรายชื่อครูผู้กระทำความผิดให้ทางคุรุสภาถอดถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูต่อไปด้วย



นายวิจิตร วิทยาวราพงศ์ รอง ผอ.สพม.2 รักษาการแทน ผอ.สพม.2 กล่าวว่า ขณะนี้ สพม.กทม.เขต 2 ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังโรงเรียนรับทราบว่าให้ครูคนดังกล่าวมาช่วยราชการที่ สพม.กทม.เขต 2 แล้ว โดยเบื้องต้นยังไม่สามารถติดต่อครูคนดังกล่าวได้ แต่คาดว่าครูจะต้องมารายงานตัวที่เขตพื้นที่ฯ ในเร็วๆ นี้ ขณะเดียวกันทางโรงเรียนก็ได้มีการตั้งคณะกรรมการสืบข้อเท็จจริงแล้วเช่นกัน ทั้งนี้ ตนได้มีการพูดคุยกับผู้อำนวยการโรงเรียนชื่อดังแล้ว ซึ่งตัวผู้อำนวยการเอง ก็รู้สึกกังวล เพราะห่วงภาพลักษณ์ของโรงเรียนเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นโรงเรียนดังที่มีชื่อเสียง ซึ่งตนก็ได้ชี้แจงกับผอ.โรงเรียนดังไปว่า ครูที่ก่อเหตุคงไม่สามารถกลับไปยังโรงเรียนเดิมได้ และคาดว่ากลุ่ม ผู้ปกครองจะต้องออกมาต่อต้านอย่างแน่นอน อีกทั้งต้องคำนึงถึงสภาพจิตใจของเด็กเป็นหลักด้วย อย่างไรก็ตาม หากเรื่องดังกล่าวพบข้อมูลความผิดจริงครูก็จะถูกลงโทษทางวินัยขั้นร้ายแรง คือ การให้ออกจากราชการ



วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวประจำ จ.อุตรดิตถ์ รายงานว่า หลังจากโลกออนไลน์ได้มีการแชร์ข้อความไลน์การพูดคุยสนทนาระหว่างรองผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในอุตรดิตถ์กับน.ร.หญิงชั้น ม.6 ในทำนองชู้สาว บอกว่าแอบชอบนักเรียนบ้าง ขอดูหน้าอกของเด็กบ้าง ต่อมามีการแชร์ต่อๆ กันในโลกออนไลน์จนกลายเป็นข่าวครึกโครม



ล่าสุดผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายละม่อม (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 57 ปี รองผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในจ.อุตรดิตถ์ เข้าพบร.ต.ท.ชัชวาลย์ เหมืองหม้อ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุตรดิตถ์ เพื่อแจ้งความเป็นหลักฐานว่า ได้มีบุคคลซึ่งไม่ทราบว่าเป็นบุคคลใด ได้แอบอ้างใช้ไลน์ของตนติดต่อกับบุคคลอื่น ซึ่งใช้นามว่า "ฮอนด้า" ในเชิงชู้สาวทำให้เกิดความเสียหายต่อตนเอง แต่นายละม่อมไม่ได้นำข้อความที่ปรากฏบนไลน์มาแสดงต่อพนักงานสอบสวน



ทางด้านผู้อำนวยการโรงเรียนดังกล่าว เปิดเผยถึงเรื่องนี้ว่า ทราบเรื่องดังกล่าวจากคณะครูภายในโรงเรียน และได้เปิดสื่อออนไลน์ดูพบมีเนื้อหาเรื่องทำนองชู้สาวระหว่างรองผู้อำนวยการโรงเรียนกับเด็กนักเรียน จึงได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวน ข้อเท็จจริงต่อเรื่องที่เกิดขึ้น โดยจะเชิญนายละม่อมมาสอบถามข้อเท็จจริง พร้อมกับเชิญเด็กนักเรียนที่เป็นคู่กรณีมาสอบด้วยเช่นกันในวันจันทร์ที่ 23 มี.ค.นี้ โดยจะให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย หากพบผิดจริงก็จะตั้งกรรมการสอบสวนเอาผิดวินัยร้ายแรงทันที 




RIP.. นักมวยปล้ำจังโก้เสียชีวิตคาเชือกต่อหน้าต่อตา “เรย์ มิสเตริโอ” (คลิป)

สู่สุคติ! "เปโดร อกัวโย่ รามิเรซ" นักมวยปล้ำชาวเม็กซิกัน หลังจากเสียชีวิตในแมตช์ปล้ำกับ "เรย์ มิสเตริโอ จูเนียร์" นักมวยปล้ำชื่อดัง หลังจากถูกเชือกเวทีดีดเข้าที่คออย่างจัง ในจังหวะที่ มิสเตริโอ จูเนียร์ เตรียมใช้ท่าไม้ตายเผด็จศึก

เกิดเหตุสลดขึ้นเมื่อ "เปโดร อกัวโย่ รามิเรซ" นักมวยปล้ำชาวเม็กซิกัน เสียชีวิตในแมตช์ที่มี "เรย์ มิสเตริโอ จูเนียร์" นักมวยปล้ำไซส์กะทัดรัดคนดังร่วมปล้ำด้วย ในการแข่งขันของสมาคมมวยปล้ำแดนจังโก้

เมื่อวันศุกร์ที่ 20 มีนาคม ที่ผ่านมานั้น ในการโชว์ที่เมืองติฆัวน่า ประเทศเม็กซิโก รามิเรซ ที่ใช้ชื่อในวงการว่า"เอล ฮิโฆ เดล พาร์โร่ อกัวโย่" ขึ้นปล้ำประเภทแมตช์แท็กทีม จับคู่กับ "มานิค" สู้กับ "มิสเตริโอ จูเนียร์"และ "เอ็กซ์ตรีม ไทเกอร์" โดยช่วงแรกการแสดงก็ดำเนินไปอย่างราบรื่น

แต่โศกนาฏกรรมเกิดขึ้น ในจังหวะที่ มิสเตริโอ จูเนียร์ ใช้ท่าดร็อปคิกใส่ รามิเรซ ล้มไปพาดกับเชือกเส้นกลาง เพื่อรอรับท่าไม้ตาย "619" ชื่อดังของเขา ก็เกิดอุบัติเหตุชนิดไม่มีใครคาดคิด เมื่อ รามิเรซ ถูกเชือกดีดเข้าที่คออย่างรุนแรง ส่งผลให้หลอดลมทางเดินหายใจหยุดทำงาน

ต่อจากนั้น มิสเตริโอ จูเนียร์ ใช้ท่า "619" ซึ่งคือการวิ่งมาจับเชือกแล้วหมุนตัวเตะ แต่ รามิเรซ กลับนั่งคุกเข่านิ่ง ไร้ปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ จนทำให้นักสู้อีกสามคนบนเวที ถึงกับงงกันหมด ก่อนที่สุดท้ายร่างของรามิเรซ จะตกลงไปกองกับเชือกเส้นล่างสุดของเวที

หลังจากนั้น ทั้งสามคนก็ยังคงปล้ำกันต่อไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่ มิสเตริโอ จูเนียร์ จะเข้าไปเช็กอาการของ รามิเรซ แล้วจากนั้นทีมแพทย์ก็เข้ามาดูอาการ ก่อนนำส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน

ก่อนที่ช่วงเช้าตรู่ที่ผ่านมา ทางโรงพยาบาลได้ประกาศว่าเขาเสียชีวิตแล้ว โดยระบุว่า รามิเรซ เสียชีวิตจากการได้รับบาดเจ็บที่กระดูกต้นคอ และต้องจากโลกนี้ไปด้วยวัยเพียง 35 ปี เท่านั้น

ทางทีมงาน Sanook Sport ขอแสดงความเสียใจมา ณ ที่นี้ด้วยครับ



ถึงกับช็อค! เมื่อสิ่งเหล่านี้อยู่ในแก้มของสาวที่แข็งเป็นไต และปวดมาก

ขอบคุณคุณธัญญารัตน์ ที่อนุญาติให้เอาคลิปนี้ลง แกไปฉีดfillerกับหมอกระเป๋ามา10ปี แก้มแข็งเป็นไต ปวดมาก ผมก็บอกแกไว้ก่อนเลยว่า อาจจะเอาออกไม่ได้ โชคดีที่พอเอาออกได้บ้าง แต่อย่างที่เห็น เม็ดสาคู(filler) เต็มไปหมด ติดแน่นด้วย เอาออกมาได้แค่นี้ก็บุญแล้ว ดังนั้นดูแล้วอย่าไปฉีดกันอีกเลย สงสารแพทย์ด้วย




สั่งฟัน! ถอนใบอนุญาตแท็กซี่โรคจิต ช่วยตัวเองต่อหน้าผู้โดยสาร


จากกรณีที่สังคมออนไลน์แชร์ภาพคนขับแท็กซี่รายหนึ่งมีพฤติกรรมลามกอนาจาร ด้วยการช่วยตัวเอง ทั้งที่มีผู้โดยสารที่เป็นหญิงสาวนั่งอยู่บนรถ โดนสาวรายนี้ได้ระบุว่าไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว แต่ตำรวจไม่รับแจ้งความ เพราะแท็กซี่ช่วยตัวเองไม่ได้ล่วงเกินผู้อื่น
วานนี้ (21 มี.ค.) นายจิรุตม์ วิศาลจิตร รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยถึงกรณีที่มีผู้ร้องเรียนการให้บริการของรถแท็กซี่ หมายเลขทะเบียน ทย 9966 กรุงเทพมหานคร ผ่านศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารรถสาธารณะ 1584 ฐานมีพฤติกรรมกระทำการอันควรขายหน้า(ลามกอนาจาร) ต่อหน้าผู้โดยสารว่า กรมการขนส่งทางบก ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลการร้องเรียนแล้วพบว่า ผู้ขับรถแท็กซี่คันดังกล่าวมีพฤติกรรมเคยกระทำความผิดมาก่อน โดยเคยถูกเปรียบเทียบปรับและพักใช้ใบอนุญาตขับรถมาแล้วถึง 2 ครั้ง
สำหรับความผิดครั้งล่าสุดเป็นการแสดงพฤติกรรมอันควรขายหน้า (ลามกอนาจาร) และปฏิเสธไม่รับผู้โดยสาร ซึ่งสร้างความเสื่อมเสียต่อผู้ประกอบอาชีพขับรถแท็กซี่ที่ปฏิบัติตัวดี จึงได้พิจารณาเพิกถอนใบอนุญาตขับรถยนต์โดยสารสาธารณะ พร้อมทั้งได้เปรียบเทียบปรับฐานกระทำการอันควรขายหน้า ตามมาตรา 5(15/1) ประกอบมาตรา 58/1 และกรณีปฏิเสธผู้โดยสาร ตามมาตรา 57 จัตวา ประกอบมาตรา 66/2 ซึ่งนับเป็นผู้ขับรถแท็กซี่ที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับรถเป็นรายที่ 2 ขณะที่กรมการขนส่งทางบกได้ดำเนินการพักใช้ใบอนุญาตขับรถไปแล้ว 93 ราย